แมวกวัก คืออะไร??? เวลาเราไปร้านอาหารญี่ปุ่น หรือจีน มักจะเห็นวางตั้งอยู่ใกล้ที่เก็บเงิน
ตามควมเชื่อแบบญี่ปุ่นจะหมายถึงการกวักเงินทอง กวักความร่ำรวยเข้ามา ให้แก่ผู้เป็นเจ้าของ
ชาวญี่ปุ่นมักจะเรียกว่า "มะเนะกิ เนะโกะ" (Maneki Neko) ซึ่งคนไทยมักจะเรียกกันว่า "แมวกวัก"
ตามตำนานเล่าว่า เมื่อสมัยเอโดะ (ราวปี ค.ศ. 1603 - 1867) เล่ากันว่า มีขุนนางผู้ทรงคุณธรรมผู้หนึ่ง ขณะที่กำลังขี่ม้าเดินทางผ่านวัดแห่งหนึ่ง ก็เห็นแมวตัวหนึ่งนั่งอยู่บนขั้นบันได ทำท่าเหมือนจะกวักเรียกเขา ด้วยความแปลกใจและอยากรู้อยากเห็น จึงหยุดม้าแล้วก้าวลงเดินไปที่แมวตัวนั้น ทันใด!!! ก็เกิดสายฟ้าฟาดเปรี้ยงมาตรงจุดที่เขาเพิ่งหยุดม้า ทำให้เขารอดตายอย่างหวุดหวิดและเกิดความซาบซิึงใจที่เจ้าแมวตัวนั้นได้กวักมือเรียกเขาให้พ้นจากความตายอย่างเฉียดฉิว
ในเวลาต่อมา ขุนนางผู้นั้นจึงได้บริจาคที่ดินและเงินก้อนใหญ่ให้แก่การบูรณะวัดแห่งนี้ และเรื่องราวนี้ก็ได้แพร่หลายออกไป และเป็นตำนาน "แมวกวัก" ในที่สุด
อีกหนึ่งตำนาน เล่าว่า หญิงชราผู้ยากจนได้เลี้ยงแมวด้วยความรักและเมตตาไว้ตัวหนึ่ง และได้เจียดอาหารของตนในแต่ละวันไปให้แมว จนวันหนึ่งไม่สามารถเลี้ยงแมวต่อไปได้ จึงจำใจปล่อยมันไป นางก็ได้ร้องไห้เสียใจเพราะคิดถึงแมว ในคืนนั้นเอง นางฝันว่าเจ้าแมวตัวนั้นมาบอกให้นางปั้นรูปปั้นแมว ด้วยดินเหนียว แล้วจะโชคดี ปรากฎว่ามีผู้คนมาเห็นเข้าและขอซื้อตุ๊กตาแมวดินเหนียว เป็นจำนวนมาก จนนางเก็บเงินจากการขายรูปปั้นแมวได้มากพอที่จะนำแมวตัวนั้นกลับมาเลี้ยงได้ต่อไป
ลักษณะการกวัก :
- หากแมวกวักยกมือข้างซ้าย หมายถึงการกวักเรียกลูกค้าให้เข้าร้านมากๆ
- หากแมวกวักยกมือข้างขวา หมายถึงการกวักเรียกทรัพย์สินเงินทองเข้ามามากๆ
วางไว้ตรงไหน :
ปัจจุบันได้มีการนำมาใช้กับหลักฮวงจุ้ยเพื่อวางแมวกวักไว้ตามจุดต่างๆ เช่น
- ตรงทางเข้า ตรงจุดที่ดึงดูดสายตาลูกค้า เช่น ขอบหน้าต่างโชว์สินค้า
- วางไว้ตรงโต๊ะเก็บเงินของแคชเชียร์ หรือ โต๊ะประชาสัมพันธ์
- ตั้งไว้หลังกระจกหน้ารถเพื่อเรียกลูกค้าขึ้นรถแทกซี่
ในปี 2007 ทางไนกี้ ได้ผลิตรองเท้าผ้าใบรุ่นพิเศษ เรียกว่า รุ่น "Nike SB Maneki Neko" หรือรุ่นแมวกวัก สไตล์ญี่ปุ่น ลายและสีประจำตัวของแมวกวัก คือ สีขาว แดง ดำ ทอง ตัวรองเท้ามีข้อความว่า "Feeling Lucky" และ "Get That Money"
Ref : Field Guide to LUCK
"ถ่มน้ำลายแล้วจะโชคดี" ตามความเชื่อของชาวตะวันตก นี่คือเคล็ด ของการอวยพรให้ประสบโชคดี เป็นสัญลักษณ์ของการปัดเป่าสิ่งร้ายๆ ให้หมดไป แล้วโชคดีและความสำเร็จจะตามมา ยังเชื่อกันอีกว่าจะสามารถขับไล่สิ่งชั่วร้าย ความตายและโรคภัย ให้มลายสิ้น อีกทั้งยังเป็นการวิงวอนขอให้พระเจ้าโปรดประทานพรช่วยเหลือ ให้มีชัยชนะในการต่อสู้
น้ำลายนั้นมาจากน้ำในกายมนุษย์ เป็นส่วนหนึ่งของวิญญาณที่มีเฉพาะผู้ที่มีชีวิตอยู่เท่านั้น ดังนั้น การถ่มน้ำลาย จึงกลายเป็นสัญญาณว่าคุณยังมีลมหายใจและจิตวิญญาณอยู่นั่นเอง
ทหารโรมันทุกคนก่อนจะออกรบทำสงคราม จะถ่มน้ำลายลงบนฝ่ามือ เพื่อมุ่งหวังให้จิตใจเกิดความหึกเหิมด้วยพลังแห่งกำปั้นอันแข็งแกร่ง และจิตวิญญาณที่ยังคงอยู่กับตัวเอง
เรามักจะพบนักกิฬาที่มีความเชื่อนี้ ก่อนการลงแข่งขัน อาทิเช่น นักมวยจะถ่มน้ำลายลงบนนวมก่อนการแข่งขันจะเริ่มขึ้น หรือ พิชเชอร์ (pitcher) ในกีฬาเบสบอล จะถ่มน้ำลายลงบนพื้นก่อนที่จะขว้างลูก
สตรีชาวกรีกจะถ่มน้ำลายสามครั้ง ภายหลังการพูดคุยถึงลูกหลานของตัวเอง ซึ่งเชื่อว่าเด็กๆจะรอดพ้นจากการถูกปองร้ายจากนัยย์ตาปิศาจ สตรีชาวยิวแม่จะไม่กล้าถ่มน้ำลายออกมา ก็จะออกเสียง ฟู่ ฟู่ ฟู่ เบาๆ สามครั้งแทน
ในไอร์แลนด์ บิดาของเด็กทารกที่เกิดใหม่ จะถ่มน้ำลายเบาๆ ลงบนตัวทารก เพื่อเป็นเคล็ดให้มีสุขภาพแข็งแรง ปลอดภัย
ขาวสวีเดน เมือเห็นแมวดำเดินข้ามผ่านหน้า จะรีบถ่มน้ำลายสามครั้งข้ามเหนือไหล่ซ้าย เชื่อกันว่าจะปลอดภัยจากลางร้ายที่ไปเห็นแมวดำ
Ref : Field Guide to LUCK
โปรยเกลือ ขับไล่ปิศาจ "Spilling Salt" ตามความเชื่อของชาวตะวัน ถ้าใครทำเกลือหกตกพื้น หรือตั้งใจทำเกลือตกระหว่างการปรุงอาหาร จะเป็นลางร้าย อาจนำมาซึ่งความสูญเสียญาติพี่น้องในครอบครัว
ในอดีต "เกลือ" เป็นดังวัตถุหนึ่งของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีสัญลักษณ์ของการพิทักษ์ปกป้อง ในสมัยโบราณ ทหารโรมันยอมทำสงครามเพื่อให้ได้เกลือมากยิ่งกว่าต้องการทรัพย์สินเงินทอง ถึงกับมีการตีราคาให้สูงมากกว่าทาสเสียอีก
เนื่องจากเกลือเป็นดังวัตถุศักดิ์สิทธิ์ จึงมีการโรยเกลือ การโปรยเกลือ สาดเกลือ หรือวางเกลือไว้ ทั้งหมดนี้ล้วนแต่กระทำขึ้นเพื่อป้องกันสิ่งชั่วร้ายทั้งสิ้น หากใครที่การละเลยเกลือ หรือทิ้งเกลือ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการไม่เห็นคุณค่าของเกลือ เชื่อกันว่าจะชักนำปิศาจติดตามคนผู้นั้นอยุ่ด้านหลัง
วิธีแก้เคล็ด : กระทำโดยการโยนเกลือหนึ่งหยิบมือ โปรยข้ามไหล่ซ้ายไปด้านหลัง ซึ่งเปรียบเสมือนการสาดเกลือใส่หน้าของปิศาจหรือสาดใส่นัยย์ตาของปิศาจให้ได้รับความเจ็บปวดและหนีไป
Ref : Field Guide to LUCK
ห้ามกางร่มในบ้านนะ!!! เดี๋ยวโชคร้ายจะมาเยือนนะ หรือ เดี๋ยวจะมีเคราะห์ร้ายเข้ามาในบ้านนะ หลายคนคงเคยได้ยินผู้ใหญ่ห้ามปรามในทำนองนี้ แล้วทำไมเราถึงจะกางร่มในบ้านไม่ได้ละ??
สัญลักษณ์ของการกางร่มก็คือ การเปิดที่กางกั้นซึ่งมีลักษณะเหมือนกับการครอบคลุมในพื้นที่นั้นๆ โดยปกติแล้วร่มจะเป็นที่กางกั้นของมนุษย์จากสิ่งภายนอกต่างๆ เช่น เมื่อยามฝนตก หรือปกป้องจากแดดร้อน เมื่อเราอยู่ภายนอกบ้าน
แล้วถ้าเรากางร่มในบ้านละ??? มีความเชื่อว่าหากเรากางร่มไว้ในบ้านแล้วเชื่อกันว่าจะนำโชคร้ายมาให้คนผู้นั้น แม้แต่ตำแหน่งที่ผู้ยืนกางร่มอยู่ภายในบ้านนั้นก็จะไม่เป็นมงคลไปด้วย
ในอดีต "ร่ม" (Umbrella) เรียกว่า "พาราซอล (Parasols) หรือ "ฉัตร" มีความเชื่อว่าหากนำไปกางในบ้าน เชื่อกันว่าเป็นการลบหลู่ดูหมิ่นสุริยะเทพ หรือเทพแห่งดวงอาทิตย์ เพราะด้วยโครงสร้างหลังคาบ้านนั้น มีไว้เพื่อเป็นที่ปกป้องมนุษย์จากพระอาทิตย์อยู่แล้ว หากเราเอาร่มไปกางซ้อนอยู่ภายในบ้านก็เปรียบดั่งกาารไม่เห็นความสำคัญของลำแสงพระอาทิตย์ หรือหมิ่นพลังแห่งสุริยะเทพ ส่งผลให้เทพแห่งดวงอาทิตย์โกรธกริ้ว จะนำมาซึ่งภยันตรายต่อบุคคลผู้นั้นและภายในสถานที่ในการกางร่มในบ้านนั้นด้วย
ชาวตะวันตกยังถือกันว่า ห้ามนำร่มไปเป็นของขวัญ ห้ามวางร่มไว้บนพื้น และห้ามนำร่มวางไว้บนโต๊ะหรือเตียง มิเช่นนั้นจะต้องประสบพบเจอกับเคราะห์ร้ายแรง
แม้ว่าในเวลาฝนตก หากเราจำเป็นต้องออกไปข้างนอกบ้าน จะต้องให้ก้าวข้ามผ่านธรณีประตู้านไปเสียก่อน จึงค่อยกางร่มออก
Ref : Field Guide to LUCK
"Lady Lucky" แปลว่า "เทพีแห่งโชค" หรืออีกนัยหนึ่ง แปลว่า "โชคดีที่มาจากสตรีเพศ" และมักเชื่อถือกันมากในกลุ่มนักพนันในบ่อนคาสิโนว่า สตรีนางนั้นจะนำมาซึ่งโชคลาภให้กับตน ซึ่งส่วนใหญ่ในบ่อนคาสิโนเรามักจะเห็นบรรดานักพนันควงคู่มากับผู้หญิงสาวสวยเสมอ
ตามตำนานของกรีกโบราณกล่าวว่า "Lady Lucky" หมายถึง "เทพีฟอร์จูน่า" (Fortuna) หรือออกเสียงตามภาษากรีกว่า "ไทคี" (Tyche) ซึ่งเป็นเทพีของจักวรรดิโรมันในสมัยโบราณ ได้รับการยกย่องเป็นเทพีแห่งความอุดมสมบูรณ์ เทพีแห่งโชคชะตา เทพีแห่งโชคชะตา เทพีแห่งโอกาส และเทพีแห่งโชค (คำว่า Fortune มาจากชื่อของ Fortuna นั่นเอง)
ตามตำนานเล่าว่า เทพีฟอร์จูน่าคือผู้หมุนวงล้อของชีวิตของมนุษย์ หรือที่เรียกว่า "วงล้อแห่งโชคชะตา" (Wheel of Fortune) ด้วยการปั่นด้ายไปตามวงล้อเพื่อกำหนดชะตาชีวิตของมนุษย์แต่ละคนตามที่สวรรค์ได้ลิขิตเอาไว้
ในบ่อนการพนัน นักพนันทั้งหลายจะชอบถามกันว่าผู้หญิงคนไหนเป็นผู้เขย่าลูกเต๋า เพราะผู้หญิงที่เป็นผู้เขย่าลูกเต๋านั้น จะมีหน้าตาที่สวยสดงดงามมาก ซึ่งนักพนันเหล่านันจะพากันมาห้อมล้อมเธอเพิ่อมาชื่นชมความงาม และหวังว่าเธอจะเป็นเทพีนำโชคมามอบให้
นี่ก็คือเหตุผลที่เรามักจะเห็นนักพนันทั้งหลายในบ่อนคาสิโน พาผู้หญิงสวยๆมาอยู่เคียงข้าง เพื่อหวังว่าพวกเธอจะเป็นเสมือนเทพีนำโชคให้กับเขา เปรียบประหนึ่งว่าเธอนั้นคือเทพีนำโชคผู้คอยหมุนวงล้อแห่งโชคชะตา พัดพาลูกเต๋าของความร่ำรวยมาให้เข้าเพียงคนเดียว
Ref : Field Guide to LUCK
คุ้กกี้เสี่ยงทาย "Fortune Cookie" บางที่ก็เรียก "คุ้กกี้ทำนายดวง" หรือเรียก "ขนมดวง"
ลักษณะเป็นขนมที่ทำจากแผ่นแป้งบางๆ รสชาติหวานกรอบ คล้ายๆ คุ้กกี้ รูปร่างคล้ายพระจันทร์เสี้ยว
ข้างในจะใส่กระดาษที่เขียนหมายเลขนำโชคบอกคำทำนายเอาไว้ บ้างก็เขียนคำอวยพร หรือคำคมด้วยภาษาจีน
คุ้กกี้เสี่ยงทายจะนำมาแจกให้แก่ลูกค้าในร้านอาหารจีน หรือภัตตาคารจีน เมื่อจบมื้ออาหารและเรียกเก็บคิดเงิน เสิร์ฟพร้อมกับผลส้มที่ฝานเป็นแผ่นบางๆ พร้อมกับน้ำชาในถ้วยใบเล็กๆ คุ้กกี้เสี่ยงทายเป็นที่โด่งดังมากในร้านอาหารจีนของสหรัฐอเมริกา
คุ้กกี้เสี่ยงทายไม่ได้มีต้นกำเนิดมาจากประเทศจีน และคนจีนเองก็ไม่รู้จักมัน คุ้กกี้เสี่ยงทายถูกคิดขึ้นเมื่อราวๆต้นศตวรรษที่ 20 ในภัตตาคารจีนแห่งหนึ่งในซานฟรานซิสโก ซึ่งเป็นไอเดียทีทำขึ้นโดยชาวอเมริกัน
เมื่อคุณได้ลิ้มรสชาติอาหารในภัตตาคารจีนต่างๆจนอิ่มหน่ำสำราญแล้ว เมื่อถึงเวลาเช็คบิลค่าอาหาร พนักงานของร้านจะเสิร์ฟขนมคุ้กกี้เสี่ยงทาย พร้อมด้วยแผ่นบางๆของผลส้มกับน้ำชารสกลมกล่อมหนึ่งถ้วยเล็ก
มันเป็นเหมือนกับโชคชะตาชักนำให้หมายเลขและข้อความมงคลเหล่านี้มาหาตัวคุณ เมือคุณกัดหรือหักแผ่นคุ้กกี้ให้แตกออก ก็จะปรากฎแผ่นกระดาษชิ้นเล็กๆ ซ๋อนอยู่ภายใน ข้อความต่างๆในนั้นจะเป็นคำมงคลที่มีความหมายดีๆ หรือเป็นคำคม คำอวยพร และคำทำนายที่ดีๆ ที่เป็นเป็นภาษาจีน พร้อมคำแปลเป็นภาษาอังกฤษ ขนมคุ้กกี้ไม่ได้มีความอร่อยกว่าขนมทั่วๆไป แต่ความสนุกอยู่ที่การลุ้นว่าข้างในจะมีคำว่าอะไรเขียนไว้มากกว่า
เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2005 มีการออกสลากเสี่ยงโชคของชาวอเมริกา มีผู้ถูกรางวัลเลขห้าตัว ของ U.S Powerball Lottery จำนวนถึง 110 คน ซึ่งสร้างความประหลาดใจให้กับเจ้าหน้าที่สำนักงานสลาก จึงได้ทำการสอบถามถึงที่มาของผู้โชคดี 110 คน ผลปรากฎว่าผู้โชคดีทั้งหมดล้วนแต่เล็กแทงสลากจากหมายเลขบน "ขนมคุ้กกี้เสี่ยงทาย" ที่ได้รับจากภัตตาคารจีนในนิวยอร์คและคุ้กกี้เสี่ยงทายนี้ก็ล้วนแต่ผลิตมาจากบริษัทวอนตอนฟู้ด ซึ่งมีโรงงานอยู่ที่เมืองควีนส์ รัฐนิวยอร์ก ทั้งสิ้น
Ref : Field Guide to LUCK
ใครหลายคนคงเคยได้ฟังนิทานเรื่อง "อะลาดิน กํบ ตะเกียงวิเศษ" มากันบ้างแล้ว
ซึ่งคำว่า อะลาดิน มาจากภาษาอาหรับคือ "อาลาอุด-ดิน" (Ala 'ad-Din) หมายถึง จิตใจอันภักดี ส่วนคำว่า "จินนี่" (Jinni) หรือ "ดีนนี่" (Djinni) ซึ่งเป็นชื่อของปิศาจที่ทรงพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่
ซึ่งเหตุบังเอิญเมื่อเจ้าหนุ่มผู้มีนามว่า อะลาดิน ได้ตะเกียงวิเศษมาครอบครอง แล้วบังเอิญไปถูตะเกียงใบน้้นเข้า อยู่ๆเจ้ายักษ์จินนี่ก็ปรากฎร่างออกมาจากตะเกียง โดยสามารถมอบพรวิเศษให้กับของเป็นเจ้านายของมันได้ทุกประการ
มีความเชื่อของชาวอาหรับสืบต่อกันมาว่า ในทุกๆคืนที่พระจันทร์เต็มดวงนั้น เจ้ายักษ์จินนี่จะออกมาจากตะเกียงวิเศษ เพื่อมอบพรอันแสนวิเศษให้กับผู้เป็นเจ้านายของมัน ในคืนนี้ผู้ที่มีตะเกียงวิเศษอยู่ที่บ้าน ก็จะทำการขัดๆถูๆตะเกียง และอธิษฐานขอพรจากยักษ์จินนี่ ให้สมความปรารถนา
Ref : Field Guide to LUCK
"Arabian Nights" หรือเป็นทีรู้จักกันทั่วไปในชื่อ "The Book of One Thousand and One Nights
หนังสือเล่มนี้เป็นมหากาพย์ของอาหรับ ผ่านการเล่าขานจากพระนางเซเฮอร์ซาเด
เนื่องมาจากความหวาดระแวงของพระเจ้าซาห์เรียร์ ที่ไม่เคยวางพระทัยในมเหสีองค์ใด
พระองค์ทรงกริ้วที่พระมเหสีองค์แรกลักลอบคบชู้ จึงมีรับสั่งให้ประหารชีวิตพระนางเสีย
จากนั้นมา เมื่อใดที่พระองค์ทรงอภิเษกกับหญิงพรหมจรรย์นางใด ก็จะร่วมบรรทมเพียงราตรีเดียว
เมื่อรุ่งอรุณ หญิงนางนั้นก็ต้องโทษประหารชีวิตทุกรายไป
เมื่อพระนางเซเฮอร์ซาเด ถวายตัวเป็นพระมเหสีองค์ใหม่ พระนางจึงทรงใช้อุบายในการเล่านิทานอันมหัศจรรย์และสนุกสนาน เพื่อยืดระยะเวลาให้เนิ่นนานออกไปวันแล้ววันเล่า คืนแล้วคืนเล่า แต่ไม่ว่าเรื่องใดก็ตาม พระนางก็จะเล่าไม่จบในคืนนั้น และจะค้างเรื่องที่กำลังสนุกไว้ เช่นนั้น
ทำให้พระเจ้าซาห์เรียร์จำเป็นต้องให้พระนางมีชิวิตอยู๋ต่อไปอีกวันหนึ่งและอีกวันหนึ่ง เพื่อฟังเรื่องเล่านิทานนั้นๆให้จบ แต่นิทานต่างๆ ที่แสนสนุกสุดมหัศจรรย์เหล่านี้ จะเล่าค้างคาเช่นนั้นคืนแล้วคืนเล่า
จนกระทั่งเวลาล่วงเลยผ่านไปยาวนานถึงหนึ่งพันราตรีกับอีกหนึ่งคืน พระองค์จึงตัดสินพระทัยละเว้นการประหารพระนางในที่สุด และนี่เองเป็นที่มาของคำว่า "พันหนึ่งราตรี" ซึ่งในปัจจุบันก็ได้มีผู้นำเอาเค้าโครงเรื่องจากหนังสือมาสร้างเป็น หนัง ละคร การ์ตูน และซีรี่ย์ต่างๆ ไว้มากมาย
โดยนิทานเรื่อง "อะลาดิน กับ ตะเกียงวิเศษ "ก็เป็นหนึ่งในนิทานหลายๆเรื่อง ในพันหนึ่งราตรี
Ref : Field Guide to LUCK